กรมการแพทย์แผนไทยฯ ประกาศ 15 สมุนไพร เป็น Herbal Champions สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจวางเป้าสู่ตลาดโลก

กรมการแพทย์แผนไทยฯประกาศ “สมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ” ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรตลอดห่วงโซ่คุณค่า วางเป้าหมายออกสู่ตลาดโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 สมุนไพรที่มีความพร้อมเพื่อการพัฒนาต่อยอด 3 รายการ ได้แก่ ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำ และกลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีศักยภาพและต้องการความต่อเนื่องในการพัฒนา 12 รายการ ได้แก่ บัวบก มะขามป้อม ไพล ขิง กระชาย ว่านหางจระเข้ กวาวเครือขาว มะระขี้นก เพชรสังฆาต กระท่อม กัญชง และกัญชา

นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า

“จากรายงานของ Euromonitor International แสดงให้เห็นว่า มูลค่าค้าปลีกสินค้าสมุนไพรในตลาดโลก (Retail Value RSP) มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยประเทศไทยมีขนาดตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรเฉลี่ยคิดเป็นมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาทต่อปี จัดเป็นประเทศที่มีมูลค่าค้าปลีกสินค้าสมุนไพรสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก (รองจากจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิตาลี และไต้หวัน) ซึ่งมั่นใจว่าสมุนไพร Herbal Championsทั้ง 15 รายการ ที่ประกาศไปนี้จะช่วยขยายตลาดสมุนไพรไทยในเวทีโลกได้ ทั้งนี้สมุนไพรหลายรายการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 รายการแรก (ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำ) มีความต้องการในตลาดโลกอยู่แล้ว”

“ขมิ้นชัน” เป็นสมุนไพรที่นิยมแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ มีสรรพคุณทางยาโดดเด่นด้านระบบทางเดินอาหาร มีศักยภาพเติบโตสูง มูลค่าตลาดหลักหมื่นล้านบาท ทั้งนี้ข้อมูลโดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตลาดโลกมีมูลค่าการส่งออกขมิ้นชันถึง 366.78 ล้านเหรียญสหรัฐ อินเดียส่งออกสูงสุด 225.54 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 61.5% การนำเข้ามีมูลค่า 382.96 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสหรัฐอเมริกานำเข้าสูงสุด 62.74 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 16.4% ส่วนตลาดประเทศไทย มีมูลค่าการส่งออกขมิ้นชัน 2.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 1.19 ล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกขมิ้นชันลำดับที่ 14 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.8% ของตลาดส่งออกทั้งหมดแม้ว่าปัจจุบัน ไทยจะมีราคาส่งออกขมิ้นชันต่อหน่วย 2,244 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาต่อหน่วยของโลก (1,612 เหรียญสหรัฐ/ตัน) แต่ไทยยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาและเพิ่มมูลค่าขมิ้นชันได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม       ด้านการเกษตร และการแปรรูปขมิ้นชัน เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของขมิ้นชันในตลาดโลกยังมีอีกมาก

“ฟ้าทะลายโจร” เป็นยาสมุนไพรที่ถูกใช้กันมายาวนานและแพร่หลายในหลายประเทศทั่วทวีปเอเชีย มีสรรพคุณโดดเด่นด้านการรักษาอาการหวัด อาการเจ็บคอ และอาการไอ โดยระยะที่ผ่านมาเป็นสมุนไพรที่มีความต้องการในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ตลาดของยาฟ้าทะลายโจรในประเทศไทยปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่ The Global Industry Research รายงานมูลค่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรในตลาดโลก ปี 2022 พบว่ามีมูลค่า 164.18 ล้านเหรียญสหรัฐ

และคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 331.01 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2028 โดยเชื่อว่าฟ้าทะลายโจรจะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค รวมถึงเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีในการผลักดัน ฟ้าทะลายโจรให้เป็นสมุนไพรที่สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ

“กระชายดำ” หรือโสมไทย (Thai Ginseng) จัดเป็นพืชเฉพาะถิ่นของประเทศไทย แม้จะยังเป็นที่รู้จักในประเทศไทยไม่มากนัก แต่กลับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น ปัจจุบันตลาดในประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกระชายดำอยู่หลากหลาย อาทิ กลุ่มเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา เครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟผสมกระชายดำ อาหารเสริม ยาแผนโบราณ เป็นต้น สรรพคุณหลักของกระชายดำคือการเพิ่มสมรรถนะทางกาย ทำให้สดชื่นและสามารถออกกำลังได้นานขึ้น จึงมีแนวโน้มถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬาและสำหรับผู้สูงอายุ จากข้อมูลสถิติการนำเข้าส่งออกของกรมศุลกากรระหว่างปี 2559-2564 พบว่าประเทศไทยมีการส่งออกวัตถุดิบกระชายดำ 172 ล้านบาท และสารสกัดกระชายดำ 44.5 ล้านบาท ในขณะที่ Future Market Insights (FMI) มีการประเมินความต้องการตลาดของสารกลุ่มฟลาโวน (flavones) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบมากในกระชายดำ มีมูลค่าสูงถึง 12.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2031 ซึ่งถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนากระชายดำอย่างจริงจังเพื่อสร้างชื่อเสียงและเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่อไป

ปัจจุบัน คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติโดย 6 กระทรวงหลักกล่าวคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายส่งเสริมสมุนไพร herbal champions โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตสมุนไพร (เกษตรกร) และ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร (SME) ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต  ให้มีคุณภาพมาตรฐาน ช่วยผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง เช่น การแปรรูปเป็นสารสกัด ยา อาหารเสริม และเครื่องสำอาง เป็นต้น การตรวจรับรองคุณภาพ ตลอดจนสนับสนุนข้อมูลการศึกษาวิจัยต่างๆเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้สมุนไพร รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ และการส่งเสริม ด้านการตลาด เน้นผลักดันในเชิงรุกทั้งในรูปแบบ Offline และ Online

ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครขอรับสิทธิ์การส่งเสริมการประกอบการภายใต้พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 สามารถเข้าไปแสดงความจำนงได้ที่เว็บไซด์กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกดเลือกขอรับสิทธิ์และใช้งานระบบส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร (https://www.dtam.moph.go.th/index.php?lang=th) โดยท่านจะได้รับใบรับรองจากระบบภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้ลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสามารถนำใบรับรองดังกล่าวไปใช้เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามที่ได้ระบุไว้ภายใต้พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562

About pawarit

Check Also

Funding Societies ให้สินเชื่อแก่กลุ่มธุรกิจ SME ในระดับภูมิภาคกว่าหนึ่งแสนล้านบาท

พร้อมเร่งเสริมทัพผลิตภัณฑ์รองรับความต้องการของธุรกิจ SME ไทย

กระทรวงอุตฯ ย้ำ!! ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ออกประกาศ “การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” ฉบับล่าสุด เน้นให้ผู้ก่อกำเนิดต้องรับผิดชอบจนกว่ากากอุตสาหกรรมจะได้จัดการแล้วเสร็จ

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) ให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงงาน จึงได้มีการปรับปรุงประกาศฉบับล่าสุด เรียกว่า “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” ซึ่งเป็นประกาศที่จะนำหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายหรือเป็นผู้รับผิดชอบ (Polluter Pays Principle; PPP) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ