แนวโน้มตลาด RFID ในปี 2566 และอีก 5 ปีข้างหน้า

ตลาด RFID ทั่วโลกคาดว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับปี 2566 โดย IDTechEx คาดการณ์มูลค่าตลาดไว้ที่ 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2565 มูลค่าตลาดนี้ประกอบด้วยฉลาก RFID การ์ด fobs และรูปแบบอื่น ๆ เช่นเดียวกับแท็ก สแกนเนอร์ ซอฟต์แวร์และบริการสำหรับ RFID

ตามการวิเคราะห์ของ IDTechEx “แท็ก RFID แบบพาสซีฟ” มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด RFID ทั้งหมด จากการคาดการณ์ของ RFID “Players and Opportunities” ปี 2566-2576″ จะมีการขายแท็ก RFID แบบพาสซีฟมากถึง 39,300 ล้านรายการในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 33,000 ล้านรายการในปี 2565 ซึ่งบ่งชี้ถึงอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก โดยการเติบโตส่วนใหญ่เกิดจากแท็ก UHF RFID แบบพาสซีฟ

แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายแท็ก UHF (RAIN) จะมีเพียง 30% ของยอดขายแท็ก HF (รวมถึง NFC) เท่านั้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาที่สูงกว่าของแท็ก HF ที่ใช้เพื่อความปลอดภัย เช่น การชำระเงิน การเข้าถึง ฯลฯ เมื่อเทียบกับแท็ก UHF (RAIN) แบบใช้แล้วทิ้งที่มีราคาถูกกว่าซึ่งใช้สำหรับติดแท็กรายการฉลาก

มูลค่าตลาดและปริมาณของแท็ก RFID แบบพาสซีฟแยกตามประเภทในปี 2566 ที่มา: IDTechEx – “RFID Forecasts, Players and Opportunities 2023-2033”

  • UHF (RAIN RFID): ค้าปลีก (Retail) ยังคงครองอุตสาหกรรม UHF ในแง่ของหมายเลขแท็กและขนาดของตลาด IDTechEx คาดการณ์ว่าป้าย RFID เกือบ 24,000 ล้านรายการ จะถูกใช้ในการติดแท็กเสื้อผ้าค้าปลีกภายในปี 2566 ดูเหมือนเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ แต่กลับมีสัดส่วนเพียง 30% ของตลาดโดยรวมสำหรับค้าปลีกเพียงอย่างเดียว แต่อีกด้านที่ IDTechEx คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นก็คือ การติดแท็กผลิตภัณฑ์ค้าปลีกอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเรือน เครื่องใช้ในบ้าน และอื่นๆ นอกจากนี้ จากบทสัมภาษณ์ของ Walmart พบว่า ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญนอกจากอุตสาหกรรมค้าปลีก พบว่าอุตสาหกรรมซัพพลายเชนและลอจิสติกส์ยังได้รับความสนใจและมีการลงทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้นและกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • HF (รวมถึง NFC): ยอดขายบัตรไร้สัมผัสยังคงแข็งแกร่งที่สุด โดยคาดว่าจะมีความต้องการบัตรมากกว่า 3,100 ล้านใบ ในปี 2566 ยอดขายเหล่านี้ขับเคลื่อนโดยการชำระเงินแบบไร้การสัมผัส การขนส่ง และแอปพลิเคชันการเข้าถึงที่ปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มนี้จะยังคงอยู่ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ตามข้อมูลของ IDTechEX มองว่าความสามารถของ NFC ในโทรศัพท์ ตลอดจนการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบจดจำใบหน้า จะส่งผลกระทบในทางลบต่อตลาดบัตรไร้สัมผัสในระยะยาว
  • LF: การติดแท็กให้กับสัตว์ เช่น สุกร ลูกแกะ และสัตว์เลี้ยง ยังคงมีความสำคัญเช่นเดิม เนื่องจากยังคงเป็นข้อผูกมัดทางกฎหมายในหลายภูมิภาค โดยมีการใช้แท็กมากกว่า 771 ล้านรายการในภาคส่วนนี้ในปี 2566

แม้ว่าตลาด RFID จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญกับปัญหาซัพพลลายเชนทั่วโลกซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2564 และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าผลกระทบจะรุนแรงลดน้อยลงก็ตาม เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก บางภาคส่วนได้ลดการซื้อแท็ก RFID เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราการเติบโตช้าลงตาม ประเด็นสำคัญปัญหาหนึ่งที่มีมายาวนานและต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้มีการนำ RFID ไปใช้อย่างแพร่หลาย คือ การติดแท็กเครื่องให้กับเครื่องแต่งกายในธุรกิจค้าปลีกจะสามารถผลักดันสู่ความสำเร็จได้

ที่ผ่านมา IDTechEx ได้ศึกษาตลาด RFID มาเกือบ 20 ปี

รายงานวิจัยตลาด RFID เวอร์ชันล่าสุด “RFID Forecasts, Players and Opportunities 2023-2033” ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมถึง RFID แบบพาสซีฟ (สำหรับความถี่ UHF, HF และ LF), พาสซีฟแบบใช้แบตเตอรี่ช่วย, Active RFID และแบบไม่มีชิป รวมถึงเทคโนโลยี RFID กลุ่มผู้เล่นและตลาดโดยรวม โดยผลการวิจัยได้นำเสนอการวิเคราะห์ที่เป็นกลางของข้อมูลหลักที่รวบรวมมาจากการสัมภาษณ์ผู้เล่นหลักตลอดทั้ง Value Chain โดยนำมาวิเคราะห์ร่วมกับแหล่งข้อมูลที่มีอยู่เพื่อต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของ IDTechEx ในอุตสาหกรรม RFID ทำให้ข้อมูลในรายงานนี้ให้การคาดการณ์ที่ครอบคลุมและเชิงลึกมากที่สุด

ที่มา : https://www.idtechex.com/en/research-article/rfid-market-trends-for-2023-and-the-next-five-years/28940?rsst2id=0

About pawarit

Check Also

U.S. Steel กล่าวว่า ข้อตกลงขายกิจการให้กับ Nippon Steel จากญี่ปุ่น จะสรุปในปลายปีนี้ หลังจากที่ โจ ไบเดน ค้านสุดตัว

Nippon Steel บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเหล็กเบอร์ 2 ของโลก หลังเข้าเทคโอเวอร์กิจการ U.S. Steel คู่แข่งชื่อดังที่มีอายุยาวนาน 122 ปีสัญชาติอเมริกา ด้วยมูลค่ากว่า 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ …

Siemens AG ขึ้นป้ายขาย Innomotics ธุรกิจมอเตอร์ไฟฟ้า มูลค่าราว ๆ 3,000 ล้านยูโร โดยมี Nidec ถูกมองว่าจะเป็นผู้ซื้อดีลนี้

Siemens ได้แยกทางกับ Innomotics โดยให้เหตุผลว่า เป็นธุรกิจที่แยกจากกันอย่างถูกกฎหมายในปีที่แล้ว และยังกล่าวอีกว่า มีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือขายทิ้งในที่สุด