เอ็นทีที ดาต้า (NTT DATA) บริษัทชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการไอที และชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ร่วมกันเปิดตัวนวัตกรรมล้ำสมัยที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของการประมวลผลแบบเอดจ์ (edge computing) ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้มุ่งนำเสนอโซลูชันครบวงจรที่ผสมผสานทั้งเทคโนโลยี Edge, Private 5G, IoT และ Modular Data Centers เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ ทำให้เกิดสุดยอดการเชื่อมต่อที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลของแอปพลิเคชัน Generative AI ที่เปิดใช้งานที่ Edge ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 2 บริษัทร่วมกันสร้างโซลูชันล้ำสมัยที่รวมเทคโนโลยี Edge, Private 5G, IoT และ Modular Data Centers เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการเชื่อมต่อ Edge ได้จากทุกที่ทุกเวลา
- ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้มอบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชัน AI ที่รันบน Edge
- องค์กรที่ปรับใช้นวัตกรรมนี้แล้วคือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ Marienpark Berlin ซึ่งร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ ที่เชื่อมโยงถึงกันแบบทั่วทั้งพื้นที่
ด้วยการผสานรวมบริการ Edge-as-a-Service ของ NTT DATA ซึ่งครอบคลุมการบริหารจัดการเครือข่ายตั้งแต่สุดปลายขอบเครือข่ายถึงระบบคลาวด์ (Edge to Cloud), บริการ Private 5G และ IoT เข้ากับเทคโนโลยี EcoStruxure ของ Schneider Electric ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลแบบโมดูลาร์ที่เชื่อมโซลูชันเทคโนโลยีด้านการดำเนินงาน (OT) เข้ากับเทคโนโลยีไอทีล้ำสมัยอย่างราบรื่น ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการของงานที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เช่น ระบบการมองเห็นของเครื่อง (machine vision) การบำรุงรักษาระบบเชิงคาดการณ์ (predictive maintenance) และแอปพลิเคชันการอนุมานโดย AI ต่างๆ ที่ Edge
“เราตั้งใจรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้า โดยตระหนักว่าการจัดการข้อมูลจำนวนมากที่สร้างโดยอุปกรณ์ Edge ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับอนาคตของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล นี่จึงเป็นเรื่องตื่นเต้นที่เราได้ประกาศเปิดตัวโซลูชันของเราเพื่อเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ เราพร้อมเป็นหัวหอกในการเดินทางสู่โลกดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรู้สึกตื่นเต้นกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของเรากับชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาคอุตสาหกรรมและภาคส่วนอื่น ๆ” ชาฮิด อาเหม็ด (Shahid Ahmed) รองประธานบริหาร New Ventures และ Innovation ของ NTT Ltd. กล่าว
ขณะนี้ องค์กรจำนวนมากจะสามารถปรับใช้โซลูชันครบวงจร ซึ่งครอบคลุมกลุ่มศูนย์ข้อมูล Edge ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในสถานที่ห่างไกลและในพื้นที่ห่างไกล ศูนย์เหล่านี้สามารถตอบสนองความต้องการพลังการประมวลผลระดับสูง ครอบคลุมองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น พลังงาน ระบบทำความเย็น แร็ค รวมถึงระบบการจัดการ IoT และ AI เฉพาะทาง
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทั้ง 2 บริษัทจะร่วมมือกันทำการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากองค์กรที่ต้องการควบคุมการประมวลผลแบบ Edge สำหรับระบบอัตโนมัติและระบบช่วยตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยข้อมูลจากรายงานเรื่อง Edge Advantage ของ NTT DATA พบว่าองค์กรเกือบ 70% กำลังเร่งนำเทคโนโลยี Edge Computing มาใช้เพื่อรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจที่สำคัญ
สำหรับการประกาศความร่วมมือครั้งนี้ NTT DATA และ Schneider Electric ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จในการประยุกต์ใช้งานศูนย์ข้อมูล EcoStruxure Data Center ที่รองรับ Private 5G แห่งแรกที่สถานที่ประวัติศาสตร์อย่าง Marienpark Berlin โดยการติดตั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาให้ Marienpark Berlin กลายเป็นอุทยานนวัตกรรมล้ำสมัย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางกว่า 30 เฮกตาร์ หรือเทียบเท่ากับ 74 เอเคอร์ จุดสนใจหลักคือการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อและการประมวลผลขั้นสูงสำหรับผู้ใช้ที่กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่
กุยโด ชึตเตอ (Guido Schütte) กรรมการผู้จัดการ Marienpark Berlin เน้นย้ำว่า “ระบบนิเวศด้านนวัตกรรมใน Marienpark ในปัจจุบันนั้นเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ พลังการประมวลผลที่เข้าถึงได้ง่ายรวมกับการเชื่อมต่อขั้นสูงถือเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงต้องการสภาพแวดล้อมที่เป็นนวัตกรรมใหม่พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานที่เพียบพร้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในชุมชนของเราในอนาคต”
นอกจากนี้ NTT DATA และ Schneider Electric ได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมนี้ด้วยการทดสอบความสามารถของ Private 5G ที่โรงงานอัจฉริยะเล็กซิงตัน (Lexington Smart Factory) ของ Schneider Electric ซึ่งถือเป็นโรงงาน Schneider Electric แห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดแสดงระบบโรงงานอัจฉริยะ โดยโรงงานแห่งนี้มีการใช้ประโยชน์จาก Private 5G, การเชื่อมต่อ IoT, การประมวลผล Edge และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน และทำให้โรงงานก้าวไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้ดีขึ้น
“จากความเชี่ยวชาญของ NTT DATA ในการยกระดับการเชื่อมต่อ Private 5G และการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสมกับสถาปัตยกรรม EcoStruxure ในโรงงานของเรา เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการขยายความร่วมมือและมอบโซลูชันที่ครอบคลุมให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม” ร็อบ แมคเคอร์แนน (Rob McKernan) ประธานกลุ่ม Cloud & Service Provider ของ Schneider Electric กล่าว “ด้วยความพยายามร่วมกันของ 2 บริษัท เรามุ่งมั่นช่วยเหลือลูกค้าทั่วโลกในการปรับใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อหรือ connected devices, โซลูชันทางอุตสาหกรรมเฉพาะทาง และโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผล Edge ที่เหมาะสมด้วยศูนย์ข้อมูลแบบโมดูลาร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกแบบมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของ IoT และความต้องการของ AI ที่กำลังขยายตัว“
ในอีกด้าน การทำงานร่วมกันระหว่าง 2 บริษัทยังสามารถจัดการกับความท้าทายที่เกิดจากแอปพลิเคชันยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งจะทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่ามีการเชื่อมต่อที่ราบรื่น แบนด์วิดท์สูง และความหน่วงต่ำผ่านศูนย์ข้อมูล Edge
“อุตสาหกรรม 4.0 จะเกิดได้เมื่ออาศัยระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะในโรงงาน สวนอุตสาหกรรม สนามบิน หรือวิทยาเขตสำนักงาน” Camille Mendler หัวหน้านักวิเคราะห์ฝ่ายบริการองค์กรของ Omdia กล่าว “ปัจจุบัน ข้อมูลที่ประมวลผลด้วย AI นั้นคิดเป็นหนึ่งในสามของการรับส่งข้อมูลเครือข่ายองค์กรแล้ว แต่สถิตินี้จะขยายตัวขึ้นไปจนครองพื้นที่ใหญ่ของทราฟฟิกดิจิทัลอินเทอร์แอคชั่นภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งหากองค์กรใดต้องการใช้ประโยชน์บนข้อมูลเชิงลึกจาก AI องค์กรต่างๆจะต้องลงทุนในทรัพยากรดิจิทัลที่ Edge และโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ตอนนี้”
นวัตกรรมที่จัดแสดงในงาน Mobile World Congress
NTT DATA และ Schneider Electric จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับความร่วมมือด้านนวัตกรรมร่วมกัน และนำเสนอผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงว่าา Edge และ Private 5G ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างไร ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น. ถึง 14.00 น. ที่บูธ NTT DATA ในฮอลล์ 4 – บูธ 4A20