ชิปคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์มานานแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง จนกว่ามันจะหยุดทำงานหรือเข้าสู่สายการผลิตล่าช้า ทำให้การผลิตหยุดชะงักจนสร้างแรงสะเทือนแก่อุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม จากการรายงานผลการวิจัย เรื่อง “Semiconductors for Autonomous and Electric Vehicles 2023-2033” (สารกึ่งตัวนำสำหรับยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและไฟฟ้า) ของ IDTechEx แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า ในไม่ช้าผู้บริโภคจะหันมาใส่ใจเกี่ยวกับชิปที่อยู่ในรถยนต์ของพวกเขามากขึ้น และ IDTechEx ยังคาดการณ์อีกว่า ในไม่ช้าจากนี้ไป การซื้อรถใหม่จะให้ความรู้สึกเหมือนซื้อคอมพิวเตอร์แบบแล็ปท็อปเครื่องใหม่

มีคำถามแบบเปรียบเปรยตามมาว่า อะไรคือข้อกังวลหลักเมื่อซื้อแล็ปท็อป สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มักมีข้อสงสัยกับสิ่งต่างๆ เช่น แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานแค่ไหน หน้าจอจะสวยแค่ไหน และชิปคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมกับเครื่องนั้นเป็นรุ่นไหน/แรงแค่ไหน ขณะที่การประเมินมูลค่าของรถยนต์ตามจำนวนกระบอกสูบ แรงม้า และระยะทางต่อการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาครองตลาดในอีกไม่นาน ดังนั้นในการเลือกยานยนต์จึงอยู่บนพื้นฐานที่ว่า สุดท้ายแล้ว อายุแบตเตอร์จะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่อีกสองเกณฑ์ที่เหลือ ก็ยังต้องขยายความกันต่อไป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการมีหน้าจอในห้องโดยสารรถยนต์ แม้แต่รถยนต์ที่มีราคาถูกที่สุดในตลาดก็ยังมีรูปแบบของจอแสดงผลกลาง ในขณะที่ระดับบนสุดของตลาดมุ่งไปที่หน้าจอแบบเต็มช่วงที่ด้านหน้า โดย IDTechEx เคยเข้าร่วมงาน CES ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค เห็นได้ชัดว่า ภายในห้องโดยสารในอนาคตจะเต็มไปด้วยหน้าจอ แม้ว่าสิ่งนี้อาจฟังดูน่าตื่นเต้นในตอนเริ่มต้น แต่ผู้บริโภคควรตระหนักว่าสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว นี่เป็นหนทางไปสู่จุดจบ ซึ่งจุดจบนั้น คือ การดึงเงินจากผู้ขับขี่มากขึ้น หน้าจอเหล่านั้นจะอำนวยความสะดวกด้วยคุณสมบัติระดับพรีเมียมภายในรถ และความสะดวกเหล่านั้น จะนำไปสู่การ ‘สมัครสมาชิก’ กันมากขึ้น
เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์แบบแล็ปท็อป ยานยนต์ก็จะกลายมาเป็นอุปกรณ์เล่นเกมด้วย ให้ดูยานยนต์ไฟฟ้า Tesla เป็นตัวอย่าง ยานยนต์ EV นี้ได้สร้างกระแสให้เห็นว่า Model S สามารถปล่อยไอหมอกบนระบบสาระบันเทิง (infotainment system) หรือจะเปิดเล่นหนังซีรีส์ Witcher 3 ได้อย่างไรเมื่อรถจอดอยู่กับที่ ขณะที่ Mercedes ก้าวไปอีกขั้น เมื่อยานยนต์ของแบรนด์นี้ผ่านการรับรองในระดับ 3 ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี โดยผู้ขับขี่สามารถเล่นวิดีโอเกมในขณะที่รถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 40 ไมล์/ชม. (ประมาณ 64 กม./ชม.) อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า Tesla จะให้เล่นเกมเพียงใด ก็ย่อมมีใครสักคนเกิดความคาดหวังว่าจะน่าจะเป็นเครื่องแล็ปท็อปที่ทันสมัยที่ใช้เพื่อการเล่นเกม ขณะที่ Mercedes นั้น ยอมให้เล่นเกมอย่างเช่น Tetris, Sudoku และเกมบนมือถือที่มีชื่อเสียงบางเกมได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ บางที Mercedes อาจต้องยกระดับเกมขึ้นไปอีก
แม้จะว่าความสามารถที่ให้มานั้นจะดีเลิศแค่ไหนก็ตาม การเล่นเกมภายในยานยนต์นั้นอาจเป็นเพียงกลไกหรือการสร้างความแปลกใหม่ ในขณะที่พลังการคำนวณที่แท้จริงในยานยนต์ที่ทันสมัยทั้งในวันนี้และในอนาคต จะถูกนำไปใช้เพื่อการขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติเป็นหลัก ซึ่งในรายงาน “Semiconductors for Autonomous and Electric Vehicles 2023-2033” ของ IDTechEx พบว่านี่คือ จุดที่มีการใช้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสุด โดยมีชิปคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่อยู่รายรอบตัวรถ และชนิดหนึ่งนั้นถูกใช้เพื่อเปิดหน้าต่างหรือปรับกระจกมองข้าง ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างล้าสมัย ชิปเหล่านี้มีขนาดโหนดปกติเกินกว่า 40nm (นาโนเมตร) ในทางกลับกัน เมื่อนำไปเทียบกับสมาร์ทโฟนสมัยใหม่ มีชิปที่ใช้กระบวนการ 4nm ซึ่งกระบวนการที่มีขนาดเล็กกว่าจะให้พลังการประมวลผลได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ชิปที่จะมาเติมพลังให้กับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติให้เข้าใกล้ความล้ำสมัยได้มากยิ่งขึ้นนั้น จะเป็นเทคโนโลยีชิปในระดับ 1-5nm
นี่คือที่มาของคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป ซึ่งแล็ปท็อปสำหรับเกมประสิทธิภาพสูงนั้นอาจใช้การ์ดแสดงผลกราฟิกจาก Nvidia ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเกม การ์ดกราฟิกจะรับข้อมูลจาก CPU และเปลี่ยนมาเป็นภาพสำหรับแสดงผลที่หน้าจอ งานคำนวณหลักอย่างหนึ่งสำหรับยานยนต์ไร้คนขับ คือ การนำข้อมูลจากกล้อง เรดาร์ LiDAR ฯลฯ แล้วนำมาเปลี่ยนให้เป็นแผนที่สภาพแวดล้อมในแบบ 3 มิติ และพิสูจน์ว่าสิ่งที่อยู่โดยรอบยานยนต์ทั้งหมดนั้นเป็นยานยนต์ และผู้คน ซึ่งกระบวนการทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างจะคล้ายกัน และนั่นหมายความว่า Nvidia สามารถขยายการตลาดไปสู่พื้นที่ยานยนต์ได้ ด้วยการนำเสนอการประมวลผลในระดับบนสุดและประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานในแบบอัตโนมัติ การประกาศล่าสุดของพวกเขาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Thor ตามที่วางแผนไว้นั้นจะมีกำลังการประมวลผลถึง 2,000 TOPS ซึ่งถูกจัดลำดับความสำคัญว่ามีพลังมากกว่าชิปส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบันที่มุ่งเป้าไปที่การใช้งานในระบบ ADAS (ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง)
อุตสาหกรรมนี้เริ่มเข้าสู่ตลาดโดยวางตำแหน่งของยานยนต์แต่ละรุ่นให้อยู่บนพื้นฐานสมรรถนะตามคุณสมบัติของการทำงานแบบอัตโนมัติ โดยมี Polestar ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสวีเดนที่เป็นสาขาไฟฟ้าของ Volvo ได้เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถในการตรวจจับด้านหน้าตามแคมเปญโฆษณา โดยมีการทำงานร่วมกันของเรดาร์ด้านหน้ากับกล้องที่มีพิสัย 200 ม. และมุมมอง 45˚ ความสามารถนี้เป็นเรื่องใหม่ และยากที่จะนึกถึงการโฆษณาของบริษัทรถยนต์รายอื่นที่มักอยู่บนพื้นฐานเพียงความสามารถในการตรวจจับ ซึ่งนั่นทำให้ยากต่อการเทียบวัดสมรรถนะ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่วางตลาดไปแล้วนั้นอยู่บนพื้นฐานของระยะทางที่แบตเตอรี่สามารถส่งมอบได้ นั่นทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ แต่ถ้ามีเพียงยานยนต์รายเดียวที่โฆษณาให้รู้ถึงระยะและขอบเขตการมองเห็นจากการตรวจจับนั้น คนย่อมสงสัยต่อไปว่ามันดีหรือไม่ แค่ไหน
ในอนาคต ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Mercedes และ BMW อาจจะขายรถยนต์ด้วยการทำตลาดในลักษณะ ‘Nvidia inside’ หรือ ‘Mobileye inside’ เหมือนกับเครื่องแล็ปท็อปที่อาจถูกซื้อเนื่องจากมีการระบุไว้ว่า ‘intel inside’ ดังที่เห็นในทุกวันนี้ แล้วกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ก็จะกลายเป็นผู้รวมระบบ เหมือนกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ เช่น Lenovo จะซื้อ CPU จาก Intel หรือ AMD, RAM จาก Microchips และหน้าจอจาก LG แล้วนำมารวมกันในบรรจุภัณฑ์ของตนเอง ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์จะซื้อระบบส่งกำลังไฟฟ้าจากบริษัทหนึ่ง และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจากอีกบริษัทหนึ่ง และรวมไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่มีตราสินค้าของตน
เมื่อถึงจุดนั้น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคจะเลือกรถยนต์โดยพิจารณาจากอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ หน้าจอที่สวยงาม และชิปคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมกับรถ
ที่มา: IDTechEx